วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

 ปราสาทเอดินบะระ – สก็อตแลนด์                                              เอดินบะระ เป็นเมืองหลวงของสกอตแลนด์ และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในบริเทน เอดินบะระแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ ย่านเมืองเก่าประวัติศาสตร์ที่มี ปราสาทเอดินบะระที่สร้างขึ้นในยุคกลาง และตรอกซอยที่สร้างขึ้นจากหินกรวด และย่านเมืองใหม่ของชาวจอร์เจียนที่งดงามสุดคลาสสิค 




     ด้วยการผสมผสาน ของเมืองทั้ง 2 ส่วนนี้ควบคู่กับกิจกรรมและเทศกาลเฉลิมฉลองที่มีชีวิตชีวา เช่น เทศกาลปีใหม่ (Hogmanay) และเทศกาลศิลปะ (Festival Fringe) คือสิ่งที่ทำให้เอดินบะระมีลักษณะที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และยังทำให้เมืองมีเสน่ห์น่าหลงใหล เป็นจิตวิญญาณอันน่าอัศจรรย์ของสกอตแลนด์อย่างแท้จริง 

     เมืองเก่าและเมืองใหม่ที่สวยงามของเอดินบะระได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจาก ยูเนสโก้ถึงสองครั้ง ในตัวเมืองมีอาคารถึง 4,500 หลังซึ่งมีความหนาแน่นมากที่สุดในโลก และยังเป็นเมืองสมัยใหม่ที่มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมโดยมี พิพิธภัณฑ์ ห้องแสดงภาพ มหาวิทยาลัย และเทศกาลมากมาย 




     พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเก่าเอดินบะระอยู่ภายใต้Edinburgh Castle ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสุดปลายถนนรอยัลไมล์ นอกจากนี้ บนถนนรอยัลไมล์ยังมีThe Scotch Whisky Experience และ Ghost Tours 






     จากนั้นมุ่งหน้าต่อไปยังRoyal Botanic Garden อันงดงามบนพื้นที่สงบเงียบ 70 เอเคอร์ ไดอารี่ท่องเที่ยวของคุณต้องบันทึกเทศกาลสำคัญๆ เหล่านี้ เบิร์นไนท์ในเดือนมกราคม เอดินบะระมิลิทารี่แทตทูและเอดินบะระเฟสติวัลฟรินช์ในเดือนสิงหาคม และเทศกาลปีใหม่ (Hogmanay) ในเดือนธันวาคม 

     กิจกรรมตอนกลางวันที่น่าสนใจ 
     1.Discover the history behind Edinburgh Castle 
     2.เที่ยวชมMusselburgh Links ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก 
     3.See Edinburgh from your very own chauffer-driven trike with Trike Tours Scotland
     4.Sample a dram at The Scotch Whisky Experience 
 
     กิจกรรมตอนกลางคืนที่น่าสนใจ
     1.ลองเที่ยวGhost Tours เร้นลับ – ถ้าคุณกล้าพอ!
     2.Go to a Ceilidh (traditional Scottish dance) at The Lot 
     3.เที่ยวกับEdinburgh Literary Pub Tour เพื่อตามรอยวีรบุรุษในวรรณกรรมของสกอตแลนด์
     4.ทานอาหารที่The Witchery ซึ่งเป็นภัตตาคารชั้นเยี่ยมที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของปราสาทเอดินบะระ 
     5.Catch a classic theatre production at the Royal Lyceum Theatre
     

     เอดินบะระมีแหล่งช้อปปิ้งดีๆ มากมาย ปริ๊นซ์สตรีทซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่แวดล้อมไปด้วยห้าง สรรพสินค้าชั้นนำ ส่วนจอร์จสตรีทก็มีร้านบูติกและบาร์มากมาย เซนต์แอนดรูสแควร์และมัลทรีวอล์คเป็นย่านดีไซเนอร์ นอกจากนี้ รอยัลไมล์เป็นแหล่งจำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับสกอตแลนด์ 




     เอดินบะระคือสวรรค์สำหรับคอกีฬา สนามกีฬาอีสเตอร์โรดและสนามกีฬาไทน์คาสเซิลคือสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลที่ สำคัญของเมืองอย่างสโมสรฟุตบอลฮิเบอร์เนียนและสโมสรฟุตบอลฮาร์ทสออฟมิดโล เธียน (ฮาร์ทส)


 เมืองซางจี (San Zhi) ประเทศไต้หวันสถานที่ผีดุ สถานที่ผีสิง สถานที่อาถรรพ์ บ้านผีสิง โศกนาฏกรรม ผีต่างประเทศ เที่ยวเมืองนอก เมืองซางจีสถานที่ผีดุ สถานที่ผีสิง สถานที่อาถรรพ์ บ้านผีสิง โศกนาฏกรรม ผีต่างประเทศ เที่ยวเมืองนอก เมืองซางจีสถานที่ผีดุ สถานที่ผีสิง สถานที่อาถรรพ์ บ้านผีสิง โศกนาฏกรรม ผีต่างประเทศ เที่ยวเมืองนอก เมืองซางจีดีไซน์อันแปลกประหลาดของอาคารต่างๆ ทำให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้าง ที่คร่าชีวิตคนงานไปหลายคนจนถึงกับต้องหยุดการก่อสร้างไปหลายครั้งและเหตุการณ์สุดประหลาดที่มีคนอ้างว่าเห็นส่วนต่างๆ ของบ้านเคลื่อนไหวไปมาได้เองชวนขนลุก.และถึงแม้จะพยายามสร้างหมู่บ้านนี้ให้เป็นที่พักในวันหยุด แต่อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างก็ดันมีปัญหาในตอนสุดท้ายอีกจนได้        ที่มาจากhttp://www.painaidii.com/diary/diary-detail/001601/lang/th/
                         หาดชางฮี – สิงคโปร์                                                                                              จัดว่าเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องลี้ลับ โดยเฉพาะ ชายหาดชางฮี ทางฝั่งตะวันออกของเกาะสิงคโปร์ ถูกกองทัพญี่ปุ่นใช้เป็นที่สังหารหมู่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวจีนกว่าพันคนถูกทรมานและฆ่าตายที่นี่ หลายคนมักได้ยินเสียงร้องไห้และกรีดร้อง ทั้งยังพบเห็นวิญญาณหัวขาดเดินอยู่บริเวณชายหาดชางฮี ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในเอเชีย!

อนุสรณ์สถาน
ที่ไม่มีใครอยากจำ ในประเทศกัมพูชา 
   ตำนานสังหารที่โลกไม่เคยลืม บทบันทึกความเลวร้ายที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณ โศกนาฏกรรม "กัมพูชา" ช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจหลังจากยึดกรุงพนมเปญได้ในปี 2518 ทั่วทั้งแผ่นดินแดงฉานด้วยเลือดประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อความของความโหดร้ายนี้
 
      ย้อนอดีต (หลายศตวรรษให้หลังมหาอาณาจักรอันเกรียงไกร) ประวัติศาสตร์กัมพูชายุคใหม่เริ่มต้นเมื่อได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ตามข้อตกลงเจนีวาระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศสเมื่อพ.ศ.2497 สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุปกครองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งผลกระทบของสงครามเย็นทำให้กัมพูชาในช่วงปี 2508 สภาพเศรษฐกิจและสังคมตกต่ำเสื่อมโทรมถึงขีดสุด 
เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการเดินขบวนประท้วงรัฐของนักศึกษาประชาชน
 
      เดือนเมษายน 2510 ชาวบ้านและชาวนาในอำเภอซัมลูด จังหวัดพระตะบอง ก่อการจลาจล รัฐบาลส่งทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนซึ่งถูกรวมเรียกเป็นฝ่ายซ้ายหลบหนีเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์กัมพูชาที่ตั้งฐานที่มั่นอยู่ในพื้นที่ป่าเขา
 
     ต่อมาเดือนมีนาคม 2513 นายพลลอน นอล ทำการรัฐประหาร ก่อนกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือเขมรแดง (Khmer Rouge) มีเวียดกงเป็นพันธมิตร เข้ายึดอำนาจปกครองกัมพูชาได้เบ็ดเสร็จเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2518 จากนั้นมากัมพูชาอยู่ภายใต้อำนาจของนายพล พต ผู้นำกลุ่มเขมรแดง ผู้โค่นล้มรัฐบาลลอน นอล ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา กัมพูชาในกำมือพล พต ระหว่างปี 2518-2522 ตกอยู่ในความรุนแรงสุดขั้วเพื่อปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตนเอง ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากภายนอกประเทศ และไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับชาติใดๆ โดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิพลของต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร ระบบเงินตรา ยึดทรัพย์สินจากเอกชนทั้งหมด
 
     พล พต คลั่งลัทธิซ้ายสุดๆ เขาเชื่อว่าระบบสังคมนิยมจะนำกัมพูชาสู่ความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ โดยประเทศควรจะอยู่อย่างสันโดษ ไม่ต้องเพิ่งวิทยาการเทคโนโลยีใดๆ ขอให้มีข้าวกินก็อยู่ได้ เขาจึงกวาดล้างผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ทางความคิด นักศึกษาปัญญาชน แพทย์ วิศวกร นักปราชญ์ ศิลปิน 
 
     เล่ากันว่าคนใส่แว่นสายตาที่ดูเหมือนมีความรู้ เป็นภัยต่อความมั่นคง ปกครองยาก จะถูกฆ่าอย่างไร้เหตุผล เขาต้องการให้กัมพูชามีแต่ชนชั้นกรรมาชีพนี่ไม่ใช่บทหนังหรือละคร แต่เป็นความจริงที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณ ชาวนาผู้ทำงานวันละ 12 ชม.ในทุ่งสังหารอันโด่งดังเมื่อเขมรแดงยึดกรุงพนมเปญ ประชาชนพลเมืองถูกหลอกออกจากเมืองไปยังชนบทกันดาร 
 
     พล พตต้องการเปลี่ยนให้ชาวกัมพูชากลับไปเป็นชนดั้งเดิม ใช้แรงงานเพื่อการเกษตร ทุกคนต้องเป็นชาวนาชาวไร่ อาศัยอยู่ในค่ายแรงงาน ทำงานวันละ 12 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก และไม่มีอาหารเพียงพอ 4 ปีที่พล พตอยู่ในอำนาจผู้คนล้มตายนับล้านชีวิต ทั้งอดอยาก ทั้งถูกทารุณกรรม ถูกฆ่ายิ่งมหาศาล "ทุ่งสังหาร" อุบัติขึ้นเวลานั้น
 
 
     ภาพทุ่งสังหารที่เป็นตำนานแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ บ้างก็ถูกกลบฝังทั้งเป็น ณ ทุ่งแห่งนี้นับจำนวนมหาศาล กระดูก - กระโหลกศีรษะทับถมเป็นกองภูเขาเลากา นโยบายหนึ่งที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าป็นผักปลาคือเขมรแดงต้องการให้กัมพูชาเป็นประเทศที่มีคนแค่เชื้อสายเดียว คือเชื้อสายกัมพูชา ชนกลุ่มน้อยอย่างชาวเวียดนาม และชาวจีน จึงถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมถึงคนเขมรด้วยกันเอง ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.5-2 ล้านคน เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุดของศตวรรษที่ 20
 
     เดือนมกราคม พ.ศ.2522 เขมรฝ่ายที่เวียดนามหนุนหลังบุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ  เขมรแดงแตกพ่ายมาหลบอยู่ตามตะเข็บชายแดนกัมพูชา-ไทย ขณะที่ระเบิดนับสิบล้านลูกฝังอยู่ทั่วประเทศ เจ้านโรดม สีหนุต่อมา พ.ศ.2525 พล พตร่วมกับเจ้าสีหนุจัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาธิปไตย นายเขียว สัมพัน ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 แต่เชื่อกันว่าพล พตกุมอำนาจที่แท้จริงถึง พ.ศ.2534 กลุ่มต่างๆ ในเขมรลงนามสันติภาพให้มีการเลือกตั้งที่กำกับโดยสหประชาชาติ แต่แล้วเขมรแดงกลับปฏิเสธผลการเลือกตั้งที่จะได้รัฐบาลผสมในปี 2535 แม้ว่าจะเสียกำลังพลไปจำนวนมากแล้วก็ตาม การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นภายในกลุ่มเอง 
 
 
 
      ปี 2536 สหประชาชาติสนับสนุนให้มีการจัดเลือกตั้งใหญ่เพื่อนำประเทศกลับสู่สภาพปกติ ตอนนั้นเองที่เขมรแดงหมดอำนาจลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลที่ได้ครองอำนาจในระยะนั้นเป็นรัฐบาลผสม และหลังจากการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศในปี 2541 ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น นำไปสู่การยอมจำนนของกองกำลังเขมรแดง พล พตถูกขับก่อนเสียชีวิตวันที่ 15 เมษายน 2541 สมาชิกของเขมรแดงแตกกระจาย บางส่วนยอมจำนนและถูกจับ บางส่วนโดยเฉพาะระดับแกนนำหนีหัวซุกหัวซุน
 
     "เขมรแดง" หรือ Khmer Rouge เป็นคำประฌามที่เจ้านโรดมสีหนุ ผู้เป็นประมุขรัฐ ใช้เรียกขบวนการคอมมิวนิสต์ของประเทศช่วง พ.ศ.2503 เพื่อให้แตกต่างจากฝ่ายขวา เขมรสีน้ำเงิน คือเขมรที่นิยมกษัตริย์ทุกวันนี้หลักฐานความสัตว์ชนิดหนึ่งใหญ่กว่าจิ้งจกมโหดของเขมรแดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์กลางกรุงพนมเปญ คือ "พิพิธภัณฑ์ตวล ชเลง" หรือ Genocide Museum 
แต่เดิมเป็นโรงเรียนมัธยมซึ่งตั้งชื่อตามบรรพบุรุษของพระมหากษัตริย์กัมพูชา มีตึกเรียน 4 ชั้น 4 อาคาร พ.ศ.2519 เขมรแดงเปลี่ยนโรงเรียนแห่งนี้เป็น S-21 ย่อจาก Security Office 21 
สถานจองจำและทรมานผู้คนที่เห็นว่าเป็นศัตรูก่อนเอาตัวไปฆ่า 
 
 
      .......ทุ่งสังหาร(the killing fields)....ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ประชาชนกว่าหนึ่งล้านเจ็ดแสนคนต้องสังเวยชีวิต ณ.ที่แห่งนี้ พร้อมๆกับบันทึกชื่อของพอลพต ฮิตเลอร์แห่งกัมพูชา”............บั้นปลายของพอลพตถูกจับกุมและสิ้นใจตายเยี่ยงคนสิ้นไร้ไม้ตอกในกระท่อมเล็กๆที่เป็นที่คุมขังในบางความเห็นของผู้ที่ไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ที่เขมรโดยคุณ เพิ่งไปยือนมา เล่าว่า :  "ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเยือนคุกแห่งนี้ ขอบอกว่าคุณจะซึมซับได้ถึงความตายว่ามันน่ากลัวขนาดไหนทุกอณู ของพื้นที่มีแต่คนตายมีภาพคนก่อนตาย และตายไปแล้วมากมาย ดูกันไม่หวาดไม่ไหวมันน่ากลัวและหดหู่เหลือประมาณว่าทำไมมนุษย์ถึงทำกับมนุษย์กันเองได้ขนาดนี้เรือนจำตวลสเลง1975-1979 เขมรแดง ดัดแปลงจากโรงเรียนมัธยมในกรุงพนมเปญมาทำเป็นคุกมีผู้ถูกจองจำในคุกแห่งนี้จำนวน17,000 คน -20,000 คน หรืออาจมากกว่านั้นและมีผู้ที่รอดชีวิตออกมา..เท่าที่ตรวจสอบได้ เพียง 12 คน... ขอบคุณที่มา : http://www.navy22.com/smf/index.php?topic=16113.0
 

 เมืองเกตตีสเบิร์ก (Gettysburg) เป็นที่รู้จักในแง่ของแหล่งท่องเที่ยวที่คงความสยองเมื่อนึกถึง เนื่องจากปี 1863 นั้น ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามกลางเมืองอเมริกา โดยเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายสหรัฐอเมริกา นำโดยนายพลจอร์จ กอร์ดอน มีด กับฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา นำโดยนายพลโรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด ลี การปะทะกันกินเวลาทั้งสิ้น 3 วัน ยุทธการดังกล่าวนับว่าเป็นสมรภูมิที่นองเลือดมากแห่งหนึ่งในสงครามกลางเมืองอเมริกา โดยมียอดผู้เสียชีวิตเกือบ 10,000 คน และบาดเจ็บอีกเกือบ 30,000 คน ทุกวันนี้ยังมีเรื่องน่าขนลุก ไม่ว่าจะเป็นบ้านร้าง สวนสาธารณะ หลายคนเคยได้ยินเสียงผีทหารที่ตายในสนามรบร้องครางด้วยความโหยหวน                                                                           ที่มาจากhttps://sites.google.com/site/parada2628/home/9-meuxng-ke-t-ti-s-beirk-gettysburg


เมือง ออร่าดูร์-ซู-แกน (Abandoned City & Commune of Oradour)     สถานที่ผีดุ สถานที่ผีสิง สถานที่อาถรรพ์ บ้านผีสิง โศกนาฏกรรม ผีต่างประเทศ เที่ยวเมืองนอก  เมืองออร่าดูร์-ซู-แกน   เมืองร้างที่โดนทำลายย่อยยับโดยกองทัพของเยอรมนีในปี ค.ศ.1944 มีชาวบ้านถูกฆ่าตายที่นี่อย่าง โหดเหี้ยมไปถึง 642 ศพ จากคำบอกเล่าของนายทหารเยอรมันผู้หนึ่ง นี่เป็นผลพวงจากความโหดร้ายในการสังหารหมู่ เด็กๆและผู้หญิงถูกต้อนราวกับฝูงแกะเข้าไปในโบสถ์ และถูกเผาทั้งเป็น ส่วนผู้ชายก็ถูกทรมานด้วยการยิงที่ขา ให้ตายอย่างช้าๆในโรงนา ปัจจุบันซากของเมืองเก่ายังคงมีให้เห็นอยู่ในความทรงจำของวันที่โหดร้าย และชาวเมือง Oradous ได้ย้ายถิ่นฐานของตนไปยังเมืองใกล้ๆ คงเหลือไว้แต่เพียงซากความทรงจำที่แสนเจ็บปวด แม้ปัจจุบันจะมีการสร้างเมือง นี้ขึ้นมาใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังคงขึ้นชื่อเรื่องของอาถรรพความเฮี้ยนจนไม่มีใครกล้าย่างกราย เข้าไป                                                                   ที่มาจากhttps://sites.google.com/site/parada2628/home/5-meuxng-xx-ra-dur-su-kaen-abandoned-city-commune-of-oradour           

 เมืองร้างพริเพียต ในยูเครน                                                          เมืองที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมช็อคโลกที่เรียกได้ว่า รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งใน ประวัติศาสตร์โลก นั่นคือการระเบิดของ ?เชอร์โนบิล? โรงงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ที่นำหายนะครั้งใหญ่มาสู่สิ่งมีชีวิตที่ตกป็นเหยื่อทั้งสังเวยชีวิต ป่วยเป็นโรคมะเร็ง กลายพันธุ์ผ่าเหล่า หรือพิการเพราะอวัยวะที่ใหญ่ผิดขนาด จึงประกาศเป็นพื้นที่ต้องห้าม
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อวิศวกรได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบได้ล่าช้ากว่ากำหนดจนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ได้เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย และเกิดระเบิดขึ้น ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,000 คน ออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน
อุบัติเหตุครั้งนี้ได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์?ในปี ค.ศ. 2005 สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และองค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน มีผู้เสียชีวิตทันทีหลังการเกิดระเบิด 56 คน แต่ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีอาจสูงถึง 4,000 คน                                                      เมืองพริเพียต(เชอร์โนบิล) ประเทศ ยูเครน (รัสเซีย ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์)       เมืองร้างพริเพียต ในยูเครน ได้รับการประกาศเป็นเมืองในปี ค.ศ. 1979 และมีประชาชนราว 49,360 คน แต่แล้วในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลซึ่งอยู่ภายในเมืองได้เกิดระเบิดขึ้นหลังการทดลองผิดพลาด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย และได้รับกัมมันตรังสีกว่า 200 คน อพยพอีกนับแสนในตอนนั้น ก่อนที่เมืองพริเพียตจะกลายเป็นเมืองร้างมาจนถึงทุกวันนี้
           อย่างไรก็ดี ปัจจุบันกลุ่มบริษัททัวร์หัวใสได้จัดทัวร์พานักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมเมืองพริเพียตอันโด่งดังแห่งนี้ โดยบรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความเศร้าและหลอน ขณะที่เรื่องหลอน ๆ ของผู้คนที่พบเจอกับวิญญาณก็มีออกมาให้ได้ยินกันอยู่เนือง ๆ                                                                            ข้อมูล
FB : ReuxngLuklabPaelkPrahladCakThawLok
              

ภูเขาแวเ ภูเขาแห่งกางเขน ในลิทัวเนียภูเขาแห่งกางเขน ในลิทัวเนีย

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ลึกลับมากในเรื่องความเป็นมา
ไม่มีใครรู้ว่าคนสมัยก่อนปักไม้กางเขนไว้ทำไมมากมายเช่นนี้
แต่คาดว่าน่าจะเริ่มทำกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1830 เรื่อยมาจนปัจจุบัน
มีไม้กางเขนมากมายจนไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน
คาดว่าน่าจะมีจำนวนราว 100,000 เป็นอย่างต่ำ
และในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา
สถานที่แห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสถานที่แห่งการอธิษฐาน
และมีการปักไม้กางเขนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เนินกางเขน ตั้งอยู่ใน ......



ทิศเหนือจรด
ลัตเวีย ทิศตะวันออกและทิศใตัจรดเบลารุส
และทิศตะวันตกเฉียงใต้จรด
โปแลนด์และรัสเซีย (แคว้นคาลินินกราด
)
เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย

  
              ลิทัวเนีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลบาลติก และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ซึ่งได้รับอิสรภาพจากสหภาพโซเวียตในปี 1990 นับจากวันนั้นลิทัวเนียได้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศขึ้นมาจนได้เข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปในปี 2004 นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกได้เริ่มเข้าไปท่องเที่ยวในลิทัวเนียมากขึ้นในแต่ละปี เนื่องจากความเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของวิลนีอุส เมืองหลวงของประเทศ และธรรมชาติอันงดงามซึ่งมีทั้งป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ ทะเลสาบรวมไปถึงแม่น้ำที่งดงามหากดูตามแผนที่จะพบลิทัวเนียเป็นศูนย์กลางของทวีปยุโรป โดยมีชายฝั่งประมาณ100 กิโลเมตรติดกับทะเลบอลติก ขณะที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศเบลารุส ลัตเวีย โปแลนด์และบางส่วนของรัสเซีย นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำ 18 สาย ทะเลสาบกว่า 2,500 แห่ง และป่าไม้ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งในสามของประเทศ



 เนินกางเขน  อยู่ทางใต้ของเมืองชูเล ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของลิธัวเนีย  เป็นสถานแสวงบุญแห่งหนึ่ง เป็นเนินเตี้ยๆสองเนินติดกันเหมือนชื่อเรียก เป็นเนินที่เต็มไปด้วยไม้กางเขนรูปปั้นพระเยซู หรือแม้แต่ภาพสลักของวีรบุรุษ ในปัจจุบันก็นับจำนวนกางเขนทั้งเล็กทั้งใหญ่ได้เกินห้าหมื่นเข้าไปแล้ว
                   ความเป็นมาที่แน่นอนนั้นดูเหมือนจะไม่รู้แน่ชัดนัก บ้างก็ว่าเริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้รับเอาศาสนาคริสต์เข้ามา โดยเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการรุกรานของต่างชาติ ในยุคกลางนั้นก็แทนการต่อต้านอย่างสันติของลิโธเอเนี่ยนคาธอลิคอีกทีหนึ่งก็ว่ากันว่ากางเขนแรกถูกตั้งขึ้นเพื่อแทนหลุมศพของคนที่เสียชีวิตในการกบฎในปี1831 ซึ่งไม่อาจนำศพกลับมาหรือจัดพิธีศพให้ได้ ตั้งแต่ช่วงนั้นจนถึงปี 1863 ก็ได้มีกางเขนถูกตั้งขึ้นอีกมากมายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง สถานที่นี้ก็กลายมาเป็นที่ที่ชาวลิธัวเนียแสดงออก และรำลึกถึงชาติกำเนิดของตน รวมไปถึงยังเป็นการต่อต้านโดยปราศจากความรุนแรง ทั้งเป็นสถานที่สวดมนต์และประกอบพีธิมาสอีกด้วยทางรัฐบาลโซเวียตก็ได้พยายามทำลายสถานที่แห่งนี้หลายต่อหลายครั้ง กางเขนที่เป็นไม้ก็เผาทิ้ง ที่เป็นเหล็กก็เอามาทำเศษเหล็ก เป็นหินเป็นปูนก็ทำลาย ฝังไปบ้างก็มี แต่ไม่ว่าจะทำลายไปซักกี่ครั้ง ชาวลิธัวเนียก็ยังคงกลับไปตั้งกางเขนขึ้นใหม่ทุกครั้งหลังปี 1988เนินกางเขนจึงกลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง มีคนมากมายแวะเวียนมา รวมไปถึงนักแสวงบุญจากที่ต่างๆ และผู้คนก็ยังคงนำกางเขนมาตั้งเรื่อยๆ

แห่งกางเขน ในลิทัวเที่มาจากที่มาจากhttp://my.dek-d.com/caio/story/viewlongc.php?id=1092810&chapter=46

วิญญาณแห่งหอคอยแห่งลอนดอน
 
หอคอยแห่งลอนดอน
หอคอยแห่งลอนดอนเคยเป็นทั้งวัง ป้อมปราการ คุกและลานประหาร
ในอังกฤษนี่ มีสถานที่หลายแห่งที่ว่ากันว่ามีคนเคยเห็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วมาหลอกหลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโบราณสถานสำคัญ ๆ เช่นป้อม วัง หรือหอคอยโบราณ Tower of London หรือ หอคอยแห่งลอนดอน เป็นอีกที่หนึ่งที่ร่ำลือกันว่า "ผีดุ"
หอคอยแห่งลอนดอนสร้างมาเกือบพันปีแล้ว เป็นโบราณสถานที่มีประวัติเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขึ้นครองราชย์ การแย่งชิงราชบัลลังก์และการสร้างชาติของอังกฤษ ที่นี่เคยใช้เป็นทั้งพระราชวัง ป้อมปราการ ที่คุมขังนักโทษและเป็นลานประหาร
ผีที่ร่ำลือกันและมีคนกล่าวอ้างว่ามาปรากฎร่างให้เห็น ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องมาจบชีวิตในป้อมแห่งนี้ ส่วนใหญ่จากไปแบบ "ตายโหง"
ความที่ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและลานประหารนี่เอง ทำให้หอคอยแห่งลอนดอนมีประวัติที่ชวนให้ขนลุกและน่าสยดสยองพ่วงเข้าไปด้วย
ตึกหลังหนึ่งในหอคอยแห่งลอนดอนซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันมากคือ Bloody Tower หรือ หอคอยเลือด
เจ้าชายน้อย
Bloody Tower เคยใช้เป็นที่ประทับและคุมขังเจ้าชายสองพระองค์ คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า วัย 12 พรรษา กับ เจ้าชายริชาร์ด ดยุกออฟยอร์ก พระอนุชาวัย 9 พรรษา
พระฉายาลักษณ์เหมือนของพระเจ้าริชาร์ดที่สาม
กล่าวกันว่าพระเจ้าริชาร์ดที่สามทรงสั่งสังหารพระภาติยะทั้งสองเพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์
ห้องที่ว่ากันว่าเจ้าชายทั้งสองพระองค์ทรงใช้บรรทมก่อนถูก "อุ้ม" หายไปอยู่บนชั้นสองของ Bloody Tower บันไดหินที่พาวนขึ้นไปค่อนข้างแคบ ตัวห้องซึ่งอยู่พ้นบันไดไปมีขนาด 4 คูณ 5 เมตร มีผนังสีขาว
ฟิล วิลสัน เจ้าหน้าที่ประจำหอคอยแห่งลอนดอนซึ่งพักอยู่ในบริเวณหอคอยด้วยเล่าว่าทำไมคนถึงเชื่อว่าวิญญาณเจ้าชายทั้งสองยังวนเวียนอยู่ในหอคอยเลือดแห่งนี้
"ที่ Bloody tower มีคนเคยเห็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้ากับเจ้าชายริชาร์ด พระอนุชาเป็นบางครั้งบางครา ทั้งสองพระองค์ทรงชุดบรรทมสีขาว จับพระหัตถ์กัน ทรงยืนนิ่ง ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายเข้าไปในผนังห้อง บ้างก็มีรายงานว่าเห็นเด็กผู้ชายสองคนวัยไล่เลี่ยกัน เล่นตามประสาเด็กตามที่ต่าง ๆ ภายในหอคอย ว่ากันว่าริชาร์ด ดยุค ออฟ กลอสเตอร์ พระปิตุลาทรงสั่งฆ่าเจ้าชายทั้งสองเพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์แทน"
ตามประวัติ หลังจากที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สี่ พระราชบิดาของเจ้าชายทั้งสองเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2026 ริชาร์ด ดยุกออฟกลอสเตอร์ที่เป็นพระปิตุลา ทรงขึ้นทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและได้พาเจ้าชายน้อยทั้งสองไปประทับที่หอคอยแห่งลอนดอน
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทรงเตรียมเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า แต่ท้ายที่สุด คนที่ได้นั่งบัลลังก์กลับเป็นพระปิตุลาซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่สาม
ตอนนั้น เจ้าชายทั้งสองยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่จากนั้นก็หายไปอย่างเป็นปริศนา
ห้องชั้นสองใน Bloody Tower ที่ว่ากันว่าเป็นห้องเกิดเหตุ มีวิดิทัศน์สั้น ๆ จากภาพยนตร์ของเซอร์ลอว์เรนส์ โอลิเวียร์ ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2498 เกี่ยวกับการหายไปของเจ้าชายทั้งสอง
ในหนังดังกล่าว พระปิตุลาของเจ้าชายทรงสั่งให้มหาดเล็กคนสนิทเอาหมอนปิดปากปิดจมูกเจ้าชายทั้งสองขณะกำลังบรรทม
เมื่อปี พ.ศ. 2217 ช่างซึ่งกำลังทุบบันไดหินทางใต้ของ White Tower หรือ หอคอยขาวในหอคอยแห่งลอนดอน พบหัวกระโหลกเด็กสองหัว
ตอนนั้นคนเชื่อว่าเป็นกระโหลกของเจ้าชายทั้งสองและพระเจ้าชาร์ลส์ที่สองที่ครองราชย์อยู่ ทรงสั่งให้นำกระดูกไปผังที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์
แต่จนถึงทุกวันนี้ก็พิสูจน์ได้เพียงแต่ว่ากระโหลกนั้นเป็นของเด็กอายุราว 10 ขวบ
พระฉายาลักษณ์เหมือนของพระนางแอน โบลิน
พระนางแอน โบลีนเป็นพระราชินีองค์แรกของอังกฤษที่ทรงถูกประหารชีวิต
ขาประจำ
วิญญาณที่เล่าขานกันว่ามาปรากฎให้เห็นบ่อย ๆ ที่หอคอยแห่งลอนดอนคือวิญญาณของพระนางแอน โบลิน มเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด ซึ่งถูกบั่นพระเศียรเมื่อปี พ.ศ. 2079 โดยบางครั้งมาแบบผีหัวขาดด้วย
ฟิล วิลสัน เจ้าหน้าที่ประจำหอคอยแห่งลอนดอนเล่าว่า
"มีคนเจอพระนางแอน โบลินหลายที่ครับ ทั้งที่ Tower Green ในควีนส์เฮาส์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นสถานที่พระนางประทับก่อนถูกประหาร พระนางต้องโทษประหารฐานนอกพระทัยพระเจ้าเฮนรี่ แต่พระนางทรงร้องขอพระสวามี ไม่ให้ใช้ขวานตามธรรมเนียมอังกฤษเพราะทรงหวาดกลัวมาก ทรงขอให้ใช้ดาบตามธรรมเนียมฝรั่งเศส พระเจ้าเฮนรี่ทรงทำตามพระประสงค์สุดท้ายของพระราชินี ทรงจ่ายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นำเพชฌฆาตมาจากเมืองคาเล่ส์ในฝรั่งเศส ว่ากันว่าเพชฌฆาตคนนี้ฝีมือแม่นมาก ฟันฉับเดียว พระเศียรหลุดทันที แต่พอเพชฌฆาตยกพระเศียรขึ้นชู พระเนตรของพระนางยังลืมอยู่และพระโอษฐ์ก็ขมุบขมิบ ผู้คนที่ไปดูการประหารเชื่อว่าพระนางทรงสาบแช่ง"
ในอังกฤษ ดูเหมือนจะมีพระนางแอน โบลินเพียงพระองค์เดียวที่ถูกประหารชีวิตด้วยใช้ดาบบั่นพระเศียร นอกนั้นใช้ขวานตามธรรมเนียม
 นักท่องเที่ยวคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอ แถมอธิบายเพิ่มว่าผู้หญิงที่ยืนข้างหลังนั้นรูปร่างไม่สูงเท่าไหร่ ใส่ชุดดำและยืนอยู่ตรงหลุมฝังศพพระนางแอน โบลิน
 
ฟิล วิลสัน เจ้าหน้าที่ประจำหอคอยแห่งลอนดอนถ่ายทอดประสบการณ์ของไกด์นำเที่ยวคนหนึ่ง
จุดประหารมีชื่อว่า ทาวเวอร์กรีน เป็นสนามหญ้าอยู่ในเขตหอคอยแห่งลอนดอน ทุกวันนี้ทางหอคอยปรับพื้นที่ให้เห็นชัดเจนขึ้น ทำเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ มีรั้วกั้นเป็นสัดส่วน ตั้งตรงหน้าโบสถ์หลวง เซนต์ปีเตอร์ แอด วินชูล่า (St Peter ad Vincula) พอดี
บริเวณตรงนี้ยังเป็นที่ประหารเจ้านายชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนรวมถึงพระนางแคทเธอรีน ฮาวเวิร์ด มเหสีองค์ที่ 5 ในพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดด้วย แต่ที่เฮี้ยนที่สุดคือวิญญาณของพระนางแอน โบลีน
ฟิล วิลสัน เล่าให้ฟังเพิ่มจากประสบการณ์ของไกด์คนหนึ่งว่า
"มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพานักท่องเที่ยวเข้าชมโบสถ์หลวงเซนต์ปีเตอร์ แอด วินชูล่า พอบรรยายให้นักท่องเที่ยวฟังเสร็จก็ออกมาจากโบสถ์ มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งถามขึ้นมาว่าตอนที่อยู่ในโบสถ์ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นใคร ไกด์ก็ตอบกลับไปว่าไม่มีใครยืนอยู่ข้างหลังผมหรอก แต่นักท่องเที่ยวคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอ แถมอธิบายเพิ่มว่าผู้หญิงที่ยืนข้างหลังนั้นรูปร่างไม่สูงเท่าไหร่ ใส่ชุดดำและยืนอยู่ตรงหลุมฝังศพพระนางแอน โบลิน"
พระฉาลาลักษณ์เหมือนของเลดี้เจน เกรย์
เลดี้เจน เกรย์ ทรงเป็นราชินีอังกฤษนาน 9 วันในปี พ.ศ. 2096 พระนางแมรี่ทิวดอร์ทรงเป็นผู้สั่งประหาร
อีกคนที่ถูกบั่นคอในต่างกรรมต่างวาระ แต่ตรงที่เดียวกับพระนางแอนโบลินคือเลดี้เจน เกรย์
มีคนเห็นเลดี้เจน เกรย์ ครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบรอบ 403 ปีที่พระนางถูกบั่นพระเศียรคอ ยามสองคนเล่าว่าเห็นร่างในชุดสีขาวที่ชั้นใต้ดินของหอคอย
การประหารที่น่าสยดสยองมากครั้งหนึ่งคือการบั่นคอ มาการ์เร็ต โพล เคาน์เตสแห่งซอลส์เบอรี่ ฐานเป็นกบฎต่อแผ่นดิน
นางไม่ยอมคุกเข่าเอาหัววางลงที่แท่นประหารเพื่อให้เพชฌฆาตบั่นคอและพยายามจะหนี ด้านเพชฌฆาตก็เป็นมือใหม่ ต้องพยายามใช้ขวานตัดคอนางให้ขาด
ว่ากันว่าวันดีคืนดีโดยเฉพาะในวาระครบรอบวันที่นางถูกบั่นคน ก็มักมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงแผดร้องและเสียงวิ่งหนีดังอยู่ในบริเวณหอคอย
ยอดเฮี้ยน
บริเวณที่ว่ากันว่ามีวิญญาณมาหลอกหลอนให้เห็นบ่อยที่สุดคือ Salt Tower ซึ่งในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ใช้เป็นที่คุมขังนักบวชคณะเยซูอิต
บริเวนชั้นบนของหอคอยจะเห็นร่องรอยที่นักโทษขีดเขียนตามผนังกำแพงด้วย
"ในบรรดาหอคอยทั้งหมดของหอคอยแห่งลอนดอน ว่ากันว่า Salt Tower เป็นหอคอยที่เฮี้ยนที่สุดครับ มียามคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเขาพยายามจะขึ้นไปชั้นบนของหอคอย แต่ขึ้นไปไม่ได้ เหมือนกับว่ามีกำแพงมากั้น แต่ที่แปลกคือมองไม่เห็นกำแพง ก่อนนั้นมียามอีกคน ต้องตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะรู้สึกว่ามีอะไรมารัดคอ พ่อหนุ่มคนนี้ร้องเสียงหลงสุดชีวิต รีบวิ่งออกมาจากห้องพัก ทั้งในชุดนอนนั่นแหละครับ ตะกุกตะกักเล่าให้เพื่อนฟังว่ามีคนพยายามจะฆ่า หลังจากนั้น เขาไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปใน Salt Tower อีกเลย" ฟิล วิลสัน จากหอคอยแห่งลอนดอนเล่า
ในเอกสารที่ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ส่งให้ทางบีบีซี ยังขยายความน่าขนลุกของ Salt Tower เพิ่มเข้าไปอีกโดยบอกว่าพอตกดึกแล้ว ไม่เพียงแต่คนเท่านั้นที่ไม่กล้าเข้าไปในหอคอยแห่งนี้ แม้แต่สุนัขก็ยังขยาด                                                                                                                                                                                                    ที่มาจาก http://www.bbc.co.uk/thai/highlights/story/2004/12/041225_ghosts.shtml

โค้ง 100 ศพ แห่งจังหวัด สงขลา                             ชาวบ้านนาทวีผวา โค้ง 100 ศพ นิมนต์พระปัดเป่าส่งวิญญาณ ตามความเชื่อกลัวมีตัวตายตัวแทน จ.สงขลา ชาวบ้านในพื้นที่บ้านเคลียง ต.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา รวมตัวกันทำบุญ  บริเวณโค้ง 100 ศพ บริเวณ ถ.เพชรเกษม ช่วงระหว่างนาทวี โคกโพธิ์ โดยพิธีดังกล่าวเริ่มต้นประมาณเที่ยงคืน (29 ส.ค.) กลุ่มชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้นิมนต์พระเกจิชื่อดังของภาคใต้ พระสามตา เจ้าอาวาสวัดนาทวี และนิมนต์เจ้าอาวาสจากอีก 8 วัด มาสวดขอร้องผีตายโหงดวงวิญญาณ อย่าได้หาตัวตายตัวแทนอีกเลย

100 โค้ง จังหวัด สงขลา
สืบเนื่องจากโค้งดังกล่าว ชาวบ้านเรียกว่าโค้ง 100 ศพ ซึ่งมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีผู้เสียชีวิตจากจุดเกิดเหตุนี้ครั้งเดียวมากสุดถึง 13 ศพ ล่าสุดอีก 3 ศพที่มาเกิดอุบัติเหตุจากโค้ง 100 ศพนี้ ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้นิมนต์พระมาทำพิธีส่งดวงวิ  ญญาณของผู้เสียชีวิตจากโค้งนี้เพื่อให้ไปผุดไปเกิด ทั้งนี้ เป็นความเชื่อของชาวบ้านและเพื่อเป็นความเป็นสิริมงคลเรียกขวัญกำลังใจให้กับคนในพื้นที่                                                                                                                                        ที่มาจากhttp://shock.mthai.com/location-shock/2385.html

สถานีรถไฟอังกฤษที่ผีดุที่สุด                                เป็นความเชื่อที่ประเทศอังกฤษ ที่พูดถึงสถานที่ผีดุที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ ที่เฮี้ยนจนถึ  งขั้นต้องจ้างนักไล่ผีมาปราบกันเลยทีเดียว ซึ่งปัญหานี้ทำให้ผู้ใช้บริการสถานีรถไฟลดน้อยลง ทางสถานีรถไฟ จึงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อแก้ไขปัญหาสถานีผีดุ แห่งนี้

1716-e1414396608105
รายงานระบุว่า การจ้างนักไล่ผีของสถานีรถไฟแห่งนี้ของอังกฤษ เกิดขึ้นหลังจากผู้โดยสารหลายรายต่างประสบพบเจอกับปัญหาขนหัวลุกเจอเหตุการณ์หลอนในลักษณะต่าง ๆ ภายในสถานีรถไฟ ตั้งแต่ลานรถไฟร้างใต้ดิน บริเวณอาคารสำนักงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่มักจะได้ยินประตูกระแทกเอง หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเปิดปิดเอง รวมทั้งพนักงานรถไฟที่บอกว่า ได้เห็นสิ่งประหลาดเกิดขึ้นภายในอาคาร ขณะนั่งทำงานเอกสาร โดยเอกสารถูกสิ่งลึกลับขว้างลอยในอากาศ รวม  ทั้งยังได้ยินเสียงประตูเปิด และมีเสียงคนเดิน โดยไม่มีคนอยู่
สถานีรถไฟผีดุ ที่กล่าวมานี้ คือ สถานี เลียมมิ่ง สปา ใครอยากพิสูจน์ความลี้ลับแห่งนี้ บินกันไปโลด!!                                        ที่มาจากhttp://shock.mthai.com/location-shock/2408.html

คุกโหด กูลัก นรกบนดิน ยุคสตาลิน แห่ง โซเวียต                                      การสังหารหมู่ ว่าโหดแล้ว การถูกกักขังใน คุกโหด แห่ง โซเวียต นั้น ถือเป็นเรื่องโหดร้ายกว่าหลายเท่า สถานกักกัน ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ กูลัก (Gulag) เป็นสถานที่ใช้กักขังและทรมานศัตรูของรัฐนับสิบล้านคน จนถือเป็นสัญลักษณ์การกดขี่ของ สหภาพโซเวียตคุกโหด กูลัก นรกบนดิน ยุคสตาลิน แห่ง โซเวียตในอดีต คุกโหด แห่งนี้ ใช้กักขัง นักโทษ ผู้ตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในยุคของจอมเผด็จการโจเซฟ สตาลิน ผู้ปรับสภาพของ สถานกักกัน กูลัก ที่สร้างขึ้นในสมัยของ วลาดิมีร์ เลนิน ให้กลายเป็นคุกโหด นรกบนดิน อย่างหาคุกใดมาเปรียบมิได้ เรียกว่าเป็น โรงงานผลิตศพ เพราะมีผู้ถูกจองจำถูกฆ่าตายรายวัน ยิ่งในยุคเฟื่องฟูของ สตาลิน คุกโหด กูลัก ถูกแผ่ขยายไปถึง 476 แห่ง แต่ละแห่งมีนักโทษราว 2,000-10,000 คน รวมแล้วกว่า 40 ล้านชีวิตที่ต้องสูญเสีย

คุกโหด กูลัก ถูกปิดตัวลงทันที ในปี ค.ศ. 1953 หลังจากที่ สตาลิน สิ้นชีพ ปัจจุบัน ซาก คุกโหด ยังคงมีให้พบเห็น ในแถบป่า Taga ไซบีเรีย ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางเหนือสุดหรือตะวันออกไกลของ สหภาพโซเวียต แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเฉียดไปที่นี่!!
คุกโหด กูลัก นรกบนดิน ยุคสตาลิน แห่ง โซเวียต
คุกโหด กูลัก แห่ง โซเวียต
คุกโหด กูลัก นรกบนดิน ยุคสตาลิน แห่ง โซเวียต
โจเซฟ สตาลิน
โฉมหน้าของ โจเซฟ สตาลิน ผู้กำหนดชะตากรรมแห่ง คุกโหด กูลัก
คุกโหด กูลัก
สภาพความเป็นอยู่ของ คุกโหด คือการรอความตายเท่านั้น
คุกโหด นรกบนดิน ยุคสตาลิน
คุกโหด กูลัก นรกบนดิน ยุคสตาลิน แห่ง โซเวียต
คุกโหด กูลัก นรกบนดิน ยุคสตาลิน แห่ง โซเวียต                                                                                           ที่มา : http://planetoddity.com